ทุกข์จริงๆมันอยู่ที่ใจ บทความดีๆ จาก หลวงพ่อเปลี่ยน ปัญญาปทีโป
เราไม่ต้องไปคิดทุกข์ถึงร่างกาย
ร่างกายนี้มันทุกข์แน่อยู่แล้ว
ถ้าบุคคลฝึกฝนอบรมจิตใจของตน ก็จะรู้ว่ารูปร่างกายนี้มันทุกข์อยู่แน่นอน มันไม่มีความสุข
แต่ทุกข์จริงๆมันอยู่ที่ใจ
ความดิ้นรนกระเสือกกระสนวุ่นวายก็อยู่ที่ใจ
ความเศร้าโศกโศกาอาดูรมูลหมองก็อยู่ที่ใจ
ทำให้บุคคลนอนไม่หลับ ก็เพราะใจมันทุกข์
มันเป็นอย่างนี้ไปอยู่ที่ไหนมันก็ทุกข์หมด
อะไรมันทำให้ทุกข์ ในเมื่อเราไม่อยากทุกข์
เราก็ต้องมาขวนขวายพินิจพิจารณาไตร่ตรองเรื่องเหตุเรื่องผลของเรื่องเหล่านี้ เราจึงจะแก้ไขความทุกข์ของตนเองได้ เพราะคนอื่นแก้ให้เราไม่ได้
ท่านจึงเรียกว่าสุตตมยะปัญญา
ได้ฟังเทศน์ฟังธรรมแล้ว
ได้อ่านหนังสือธรรมะแล้ว
ก็จับข้อธรรมะนั้นมาวิจัยวิเคราะห์พินิจพิจารณา
สิ่งที่เกิดขึ้น
ว่าอันนี้มันจริงนะ ที่ท่านสอนนี้มันจริง
แต่ก่อนนี้เราไม่รู้ เราก็คิดว่าท่านสอนนี้ไม่จริง
ศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ที่ได้เทศนาไว้เป็นหนึ่งไม่มีสอง เพราะพระองค์ไม่ได้สอนเรื่องโกหก พระองค์สอนสัจธรรมสอนของจริง ของที่มีอยู่ของที่เกิดขึ้น ของที่คนเห็นอยู่ คนหลงของที่มีอยู่ในโลกนี้ ก็เลยต้องมาศึกษา
ถ้าเราไม่ศึกษามันจะรู้ได้อย่างไร
มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องปฏิบัติ
ขยันหมั่นเพียรแก้ไข
เหมือนเวลาเราสกปรก เราก็ต้องอาบน้ำเช็ดถูเป็นธรรมดา
อะไรที่ไม่ดีไม่งามก็เป็นหน้าที่ของตนเองที่จะต้องแก้ไขตน
คนอื่นมันแก้ไขให้ไม่ได้
เหมือนเราไปยืนอยู่ในที่สกปรก คนอื่นบอกว่าออกไปเดินอยู่ที่อื่นสิ มันไม่ไปมันก็ยืนอยู่ที่เดิมนั่นแหละ
เมื่อมันไม่ออกไปมันก็สกปรกอยู่ เป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องเดินออกไปเอง ไม่ใช่หน้าที่ของผู้อื่นที่จะเดินออกไปแทนให้
เหมือนกับเรามีความทุกข์อยู่กับอะไร
เราก็ต้องแก้ไขกับตนเอง
พยายามที่จะแก้ไข ความทุกข์ที่มีอยู่ในจิตใจของคนเรานั้นมันไม่มียารักษาโรค โรคความโลภความโกรธความหลงนี้ มันไม่มียารักษา ก็มีแต่สติปัญญาเท่านั้นที่จะแก้ไขรักษา อาศัยธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า
ทุกข์นั้นเกิดขึ้นจากอะไร เราก็ยกสิ่งนั้นขึ้นมาวิเคราะห์วิจัย มาพินิจพิจารณาไตร่ตรองใคร่ครวญให้ถี่ถ้วน
เหตุมันเกิดความทุกข์อย่างนี้ เมื่อมันตั้งอยู่เราระทมทุกข์กับสิ่งเหล่านี้ เราจะทำอย่างไร เราจะปลดเปลื้องออกจากจิตใจของเราได้ แก้ไขได้ ก็พิจารณาให้เห็นสิ่งนั้นทำให้เกิดทุกข์ เราไม่อยากทุกข์
จนจิตใจยอมรับสารภาพว่าสิ่งนี้ทำให้ตนเองมีความทุกข์ จิตใจรับรองก่อนว่าทุกข์กับสิ่งนี้จริงๆ
จิตใจก็จะละเอง ปล่อยวางเอง
เป็นหน้าที่ของใจ ที่จะละเองเพราะเขารู้
ตราบใดที่ยังไม่รู้ ก็เหมือนกับบุคคลที่ยังมีความทุกข์ นอนระทมร้องห่มร้องไห้อยู่ นอนไม่หลับกินไม่ได้ อยู่ไม่ไหวอัดอั้นตันใจ ยังแก้ไขไม่ได้ สติปัญญายังไม่เกิดขึ้น วิเคราะห์วิจารณ์หาวิธีลดละความทุกข์ ยังไม่ได้ด้วยตนเอง คนอื่นพูดให้ฟังตนเองก็ยังวิเคราะห์แก้ไขให้ตนเองไม่ได้ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของตนเองที่จะวิเคราะห์วิจารณ์ เป็นงานของตนเองที่จะปฏิบัติ
จะไปอาศัยคนอื่นได้อย่างไร การแก้ไขกิเลส
เหตุฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของพวกเรา ที่เป็นนักปฏิบัติ ที่จะพากันขวนขวาย เพราะเราไม่อยากทุกข์ เราก็ต้องหาวิธีดับทุกข์
หรือว่าวิธีดับทุกข์นั้นก็คือการเรียนรู้นั่นเอง
ไม่ใช่ว่ามันเป็นไฟลุกอยู่เราจะไปหาดับไฟ
ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันทุกข์อยู่กับอะไร
เราก็ต้องตีตัวออกห่างจากสิ่งเหล่านั้น
คือตีตัวออกห่างที่จิต ที่จะละ จะปล่อย จะวาง
เป็นหน้าที่ของจิตใจ
เหมือนบุคคลที่ยืนอยู่ในโคลนตม
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
มันต้องออกมาจากโคลนตมเอง
ถ้ามันไม่ออกมันก็อยู่นั่นแหละ
หลวงพ่อเปลี่ยน ปัญญาปทีโป
ภาพโดย Chitsanupong Pengwanput
ร่างกายนี้มันทุกข์แน่อยู่แล้ว
ถ้าบุคคลฝึกฝนอบรมจิตใจของตน ก็จะรู้ว่ารูปร่างกายนี้มันทุกข์อยู่แน่นอน มันไม่มีความสุข
แต่ทุกข์จริงๆมันอยู่ที่ใจ
ความดิ้นรนกระเสือกกระสนวุ่นวายก็อยู่ที่ใจ
ความเศร้าโศกโศกาอาดูรมูลหมองก็อยู่ที่ใจ
ทำให้บุคคลนอนไม่หลับ ก็เพราะใจมันทุกข์
มันเป็นอย่างนี้ไปอยู่ที่ไหนมันก็ทุกข์หมด
อะไรมันทำให้ทุกข์ ในเมื่อเราไม่อยากทุกข์
เราก็ต้องมาขวนขวายพินิจพิจารณาไตร่ตรองเรื่องเหตุเรื่องผลของเรื่องเหล่านี้ เราจึงจะแก้ไขความทุกข์ของตนเองได้ เพราะคนอื่นแก้ให้เราไม่ได้
ท่านจึงเรียกว่าสุตตมยะปัญญา
ได้ฟังเทศน์ฟังธรรมแล้ว
ได้อ่านหนังสือธรรมะแล้ว
ก็จับข้อธรรมะนั้นมาวิจัยวิเคราะห์พินิจพิจารณา
สิ่งที่เกิดขึ้น
ว่าอันนี้มันจริงนะ ที่ท่านสอนนี้มันจริง
แต่ก่อนนี้เราไม่รู้ เราก็คิดว่าท่านสอนนี้ไม่จริง
ศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ที่ได้เทศนาไว้เป็นหนึ่งไม่มีสอง เพราะพระองค์ไม่ได้สอนเรื่องโกหก พระองค์สอนสัจธรรมสอนของจริง ของที่มีอยู่ของที่เกิดขึ้น ของที่คนเห็นอยู่ คนหลงของที่มีอยู่ในโลกนี้ ก็เลยต้องมาศึกษา
ถ้าเราไม่ศึกษามันจะรู้ได้อย่างไร
มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องปฏิบัติ
ขยันหมั่นเพียรแก้ไข
เหมือนเวลาเราสกปรก เราก็ต้องอาบน้ำเช็ดถูเป็นธรรมดา
อะไรที่ไม่ดีไม่งามก็เป็นหน้าที่ของตนเองที่จะต้องแก้ไขตน
คนอื่นมันแก้ไขให้ไม่ได้
เหมือนเราไปยืนอยู่ในที่สกปรก คนอื่นบอกว่าออกไปเดินอยู่ที่อื่นสิ มันไม่ไปมันก็ยืนอยู่ที่เดิมนั่นแหละ
เมื่อมันไม่ออกไปมันก็สกปรกอยู่ เป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องเดินออกไปเอง ไม่ใช่หน้าที่ของผู้อื่นที่จะเดินออกไปแทนให้
เหมือนกับเรามีความทุกข์อยู่กับอะไร
เราก็ต้องแก้ไขกับตนเอง
พยายามที่จะแก้ไข ความทุกข์ที่มีอยู่ในจิตใจของคนเรานั้นมันไม่มียารักษาโรค โรคความโลภความโกรธความหลงนี้ มันไม่มียารักษา ก็มีแต่สติปัญญาเท่านั้นที่จะแก้ไขรักษา อาศัยธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า
ทุกข์นั้นเกิดขึ้นจากอะไร เราก็ยกสิ่งนั้นขึ้นมาวิเคราะห์วิจัย มาพินิจพิจารณาไตร่ตรองใคร่ครวญให้ถี่ถ้วน
เหตุมันเกิดความทุกข์อย่างนี้ เมื่อมันตั้งอยู่เราระทมทุกข์กับสิ่งเหล่านี้ เราจะทำอย่างไร เราจะปลดเปลื้องออกจากจิตใจของเราได้ แก้ไขได้ ก็พิจารณาให้เห็นสิ่งนั้นทำให้เกิดทุกข์ เราไม่อยากทุกข์
จนจิตใจยอมรับสารภาพว่าสิ่งนี้ทำให้ตนเองมีความทุกข์ จิตใจรับรองก่อนว่าทุกข์กับสิ่งนี้จริงๆ
จิตใจก็จะละเอง ปล่อยวางเอง
เป็นหน้าที่ของใจ ที่จะละเองเพราะเขารู้
ตราบใดที่ยังไม่รู้ ก็เหมือนกับบุคคลที่ยังมีความทุกข์ นอนระทมร้องห่มร้องไห้อยู่ นอนไม่หลับกินไม่ได้ อยู่ไม่ไหวอัดอั้นตันใจ ยังแก้ไขไม่ได้ สติปัญญายังไม่เกิดขึ้น วิเคราะห์วิจารณ์หาวิธีลดละความทุกข์ ยังไม่ได้ด้วยตนเอง คนอื่นพูดให้ฟังตนเองก็ยังวิเคราะห์แก้ไขให้ตนเองไม่ได้ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของตนเองที่จะวิเคราะห์วิจารณ์ เป็นงานของตนเองที่จะปฏิบัติ
จะไปอาศัยคนอื่นได้อย่างไร การแก้ไขกิเลส
เหตุฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของพวกเรา ที่เป็นนักปฏิบัติ ที่จะพากันขวนขวาย เพราะเราไม่อยากทุกข์ เราก็ต้องหาวิธีดับทุกข์
หรือว่าวิธีดับทุกข์นั้นก็คือการเรียนรู้นั่นเอง
ไม่ใช่ว่ามันเป็นไฟลุกอยู่เราจะไปหาดับไฟ
ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันทุกข์อยู่กับอะไร
เราก็ต้องตีตัวออกห่างจากสิ่งเหล่านั้น
คือตีตัวออกห่างที่จิต ที่จะละ จะปล่อย จะวาง
เป็นหน้าที่ของจิตใจ
เหมือนบุคคลที่ยืนอยู่ในโคลนตม
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
มันต้องออกมาจากโคลนตมเอง
ถ้ามันไม่ออกมันก็อยู่นั่นแหละ
หลวงพ่อเปลี่ยน ปัญญาปทีโป
ภาพโดย Chitsanupong Pengwanput
loading...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น